- หน้าหลัก
- เกี่ยวกับโครงการ
- ทำเนียบผู้บริหาร
- นวัตกรรมชุมชน
- นวัตกรรมอาหารเพื่อการเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ (3 สูตรอาหาร)
- นวัตกรรมเครื่องอัดรีดร้อนสำหรับการผลิตอาหารเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
- นวัตกรรมเครื่องปั้นเมล็ดปุ๋ยแบบจานหมุน
- นวัตกรรมเครื่องผสมปุ๋ยแบบประหยัดพลังงานด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชน
- นวัตกรรมเครื่องย่อยวัตถุดิบแบบประหยัดพลังงาน
- นวัตกรรมเครื่องร่อนคัดขนาดเม็ดปุ๋ย
- เตาเผาขยะไร้มลพิษระดับครัวเรือนและชุมชน
- นวัตกรรมทุ่นดักขยะรีไซเคิล
- นวัตกรรมเครื่องยกทุ่นดักขยะรีไซเคิลด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับชุมชน
- นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
- นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์สำหรับปุ๋ยอินทรีย์
- นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารทะเล
- นวัตกรรมรูปแบบการตลาดแบบมีส่วนร่วมสำหรับอาหารเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ และผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารทางทะเล
- นวัตกรรมการออกแบบและสร้างโรงเรือนอบแห้งผลิตภัณฑ์แปรรูปทางทะเลสำหรับอุตสาหกรรมครัวเรือนบนพื้นที่ที่จำกัด
- นวัตกรรมคู่มือการจัดการทรัพยากรแบบมีส่วนร่วม
- แบบนวัตกรรมเครื่องจักร
- คลังภาพ
- KM
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 1 สูตรอาหารกุ้ง
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 2 เครื่องผลิตอาหารสัตว์น้ำ
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 3 ระบบผลิตปุ๋ยอินทรี
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 4 เตาเผาขยะ
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 5 ทุ่นดักขยะ
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 6 บรรจุภัณฑ์
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 7 การตลาด
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 8 โรงอบแห้ง
- ชุมชนนวัตกรรม โครงการย่อยที่ 9 การจัดการ
- หลักสูตรพัฒนานักนวัตกร
- คู่มือการใช้งาน
- ติดต่อเรา
- ไทย
หลักสูตรที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการตลาดและส่วนประสมทางการตลาด |
|
---|---|
คำอธิบายหลักสูตร | ศึกษาเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นของการตลาด แนวความคิดการตลาด การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด ผลิตภัณฑ์และการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา การจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด |
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ | 1. เพื่อให้เข้าใจความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการตลาด
2. เพื่อให้เข้าใจสิ่งแวดล้อมทางการตลาด 3. เพื่อให้เข้าใจและมีทักษะในการกำหนดส่วนประสมทางการตลาด |
วิธีการพัฒนา | 1. อธิบายและยกตัวอย่างเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นของการตลาด
2. ฝึกทักษะการกำหนดส่วนประสมทางการตลาด |
เกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จ | 1. ความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดเบื้องต้น 2. ความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดส่วนประสมทางการตลาด |
วิธีวัดผล | ตอบคำถามตามแบบทดสอบ |
ระยะเวลา | 180 นาที |
เครื่องมือ อุปกรณ์ | 1. เอกสารประกอบการสอน
2. กระดานฟลิปชาร์ท พร้อมกระดาษ 3. ปากกาไวท์บอร์ด |
ส่วนที่ 1 หลักการและแนวคิด
การตลาด มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการ ความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด และพยายามแสวงหาสิ่งต่างๆ ทั้งสินค้าและบริการที่จำเป็น และไม่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรค และการอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าเพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์มากที่สุด การขายเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด และการแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความพึงพอใจมากที่สุด ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ต้องอาศัย การตลาด เป็นกลไกสำคัญ ดังนั้นกิจกรรมของการตลาดที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ การผลิต (Production) การจัดจำหน่าย (Distribution) และการบริโภค (Consumption)
ส่วนที่ 2 เนื้อหาหลักสูตร
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการตลาด
ความหมายของตลาด
Phillip Kotler ให้ความหมายการตลาดว่า “เป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่จะดำเนินเพื่อให้มีการตอบสนองความพอใจ และความต้องการต่างๆ โดยอาศัยกระบวนการแลกเปลี่ยน”
Jerome McCarthy ให้ความหมายการตลาดว่า “เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมทั้งหลายที่เกี่ยวกับความพยายามให้องค์การบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยอาศัยการคาดหมายความต้องการต่างๆ ของลูกค้าและยังรวมถึงการที่สินค้าและบริการผ่านจากผู้ผลิตไปยังลูกค้า เพื่อตอบสนองความพอใจให้กับลูกค้า”
William Stanton ให้ความหมายการตลาดว่า “เป็นระบบของปฏิกิริยา กิจกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน การกำหนดราคาการส่งเสริมการตลาด และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน และผู้บริโภคที่คาดหมายในอนาคต”
คณะกรรมการสมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา ให้ความหมายการตลาดว่า “เป็นการปฏิบัติทางธุรกิจที่เกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ในการให้สินค้าและบริการผ่านจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคหรือผู้ใช้ ให้ได้รับความพอใจ ขณะเดียวกันก็บรรลุวัตถุประสงค์ของกิจการ”
จากคำจำกัดความดังกล่าว ประเด็นสำคัญของความหมายการตลาด มีดังนี้
- กิจกรรมที่ทำให้สินค้าหรือบริการไปถึงมือผู้บริโภคคนสุดท้าย หรือผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การตอบสนองและความต้องการ หรือความพอใจของผู้บริโภคคนสุดท้ายหรือผู้ใช้ ฉะนั้นนักการตลาดต้องค้นหาความจำเป็น ความต้องการของผู้บริโภคคนสุดท้ายหรือผู้ใช้ให้ถูกต้อง
- เคลื่อนย้ายสินค้าหรือบริการ จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย หรือผู้ใช้ ซึ่งจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อ-ขายขึ้นระหว่างผู้ซื้อ (ผู้บริโภคคนสุดท้าย หรือผู้ใช้) กับผู้ชาย (ผู้ผลิต หรือคนกลาง)
- บรรลุวัตถุประสงค์ของกิจการ คือการทำกำไร
ความสำคัญของตลาด
- ความสำคัญต่อบุคคล
ต่อบุคคล ในที่นี้ หมายถึง บุคคลในหน่วยงานต่าง เช่น หน่วยงานรัฐ หรือองค์กรทางการตลาดนั่นเอง ซึ่งทางการตลาดจะช่วยสร้างอาชีพให้แก่บุคคลในสังคมได้ เช่น ผู้ขาย คนวางแผนการขาย คนคิดโฆษณา นักวิจัยตลาด ผู้ผลิต นักวิจัยการตลาด เป็นต้น เป็นการสร้างรายได้ไปในตัวให้กับบุคคลภายในตัว ทำให้เกิดอาชีพเพิ่มขึ้นคนจะได้ไม่เกิดการแย่งงานกันอีกด้วย นอกจากนี้ บุคคล ยังหมายถึงผู้บริโภคหรือลูกค้าได้อีกด้วย เพราะการตลาดจะช่วยอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เช่น ด้านเวลา ด้านสถานที่ มีการจัดหาสิ่งต่างๆเพื่อมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจและมีความสุขในการได้รับบริการหรือบริโภคสินค้า โดยการตลาดยังสามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการเลือกซื้อสินค้าได้อีกด้วย
- ความสำคัญต่อองค์กรธุรกิจ
การตลาดสามารถช่วยสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัท ธุรกิจ องค์กร เมื่อเจ้าของกิจการผลิตสินค้าออกมาสู่ตลาดและจำหน่ายจะทำให้เกิดรายได้ย้อนกลับ ทำให้สามารถลงทุนสร้างรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการหมุนเวียนไป นอกจากนี้ การตลาดยังทำให้เกิดองค์กรธุรกิจใหม่ๆในรูปแบบที่แตกต่างขึ้น เช่น ร้านขายปลีก นายหน้า พ่อค้าคนกลางเพื่อต่อรองราคาสินค้า การขนส่ง ประกัน และอีกมากมาย ทำให้เกิดทางเลือกให้ผู้ประกอบอาชีพให้เลือกสรร และเกิดการขยายตัวในระบบตลาดนั่นเอง
- ความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม
ความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม คือ ทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตมากขึ้น เนื่องจากตลาดทำให้เกิดธุรกิจ เกิดการผลิต การลงทุน เกิดการจ้างงานซึ่งส่งผลต่อรายได้ เกิดการกระจายรายได้และทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นแก่บุคคล โดยไม่มีปัญหาเรื่องการจ้างงาน ทำให้บุคคลมีทรัพย์สินมากขึ้น ส่งผลไปยังการเพิ่มอำนาจในการซื้อของ ยังช่วยยกมาตรฐานระดับค่าครองชีพของสังคมให้สูงขึ้น ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่งผลย้อนกลับมาทำให้เศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น
สิ่งแวดล้อมทางการตลาด
สิ่งแวดล้อมทางการตลาด หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการบริหารการตลาด มีทั้งสิ่งแวดล้อมภายในซึ่งเป็นปัจจัยที่ธุรกิจสามารถควบคุมได้ และสิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งเป็นปัจจัยที่ธุรกิจไม่สามารถควบคุมได้
ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบาย การวางแผน การกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจจะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมต่างๆ อยู่ตลอดเวลาเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
สิ่งแวดล้อมทางการตลาด แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) และสิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment)
- สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมหรือปัจจัยที่อยู่ภายในกิจการและกิจการสามารถทำการออกแบบหรือควบคุมได้ เรียกว่า ปัจจัยที่ควบคุม (Controllable Factors) ประกอบด้วย
1.1 ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) หรือ 4 P’s ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) การจัดจำหน่าย (Place) และ การส่งเสริมการตลาด(Promotion)
1.2 การผลิต (Production) เป็นกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตตั้งแต่วัตถุดิบเครื่องมือเครื่องจักร กระบวนการแปรสภาพ ประสิทธิภาพในการผลิต ธุรกิจจำเป็นต้องกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ หรือมีการปรับปรุงพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพียงพอและตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
1.3 การเงิน (Financial) เป็นการบริหารด้านการเงิน จำนวนเงินลงทุน แหล่งที่มา ของเงินทุน ฐานะทางการเงิน ตลอดจนนโยบายทางด้านการเงินของกิจการ
1.4 ทรัพยากรบุคคล (Human Resources) หมายถึง บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ให้กับกิจการตามโครงสร้าง ซึ่งอาจแบ่งเป็นฝ่ายต่างๆ และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
1.5 การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์และประเมินผล สำหรับการพัฒนาปรับปรุงกิจการหรือดำเนินการเกี่ยวผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
- สิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment)
2.1 สิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นสิ่งแวดล้อมหรือปัจจัยภายนอกที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เรียกว่า ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrollable Factors) ที่มีอิทธิพลต่อการบรรลุเป้าหมายของกิจการ ซึ่งเจ้าของกิจการจะต้องวิเคราะห์ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมภายนอกนี้ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งแวดล้อมภายนอก ประกอบด้วย บริษัท (Company) ผู้ขายวัตถุดิบ (Suppliers) คนกลางทางการตลาด (Marketing Intermediaries) ลูกค้า (Customers) คู่แข่งขัน (Competitors) กลุ่มสาธารณะ (Publics)
2.2 สิ่งแวดล้อมมหภาค (Macro Environment) เป็นปัจจัยทางสังคมที่มีขนาดใหญ่ในระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ ซึ่งมีอิทธิพลและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมทางการตลาดในวงกว้าง ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางด้านประชากรศาสตร์ (Demographic Environment) สิ่งแวดล้อมด้านการเมืองและกฎหมาย (Political and Legal Environment) สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ (Natural Environment) สิ่งแวดล้อมทางเทคโนโลยี (Technology Environment) สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economic Environment) สังคมและวัฒนธรรม (Social and Cultural Environment)
การวิเคราะห์ SWOT (SWOT Analysis)
- Strengths (จุดแข็ง) เป็นการพิจารณาข้อดีหรือจุดเด่นที่เกี่ยวกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ ส่วนประสมทางการตลาด (4P’s) และปัจจัยภายในที่บริษัทสามารถควบคุมได้ และนำมาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การตลาด ตัวอย่างของจุดแข็ง ได้แก่
– สินค้ามีคุณภาพดี – ความชำนาญของบุคลากร
– บรรจุภัณฑ์ทันสมัย – ความแข็งแกร่งของตราสินค้า
– เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ – ทำเลที่ตั้งของกิจการที่เหมาะสม
– มีการประชาสัมพันธ์ที่ดี – ระบบตรวจสอบคุณภาพที่ทันสมัย
– ส่วนแบ่งทางการตลาดสูง – ภาพพจน์ของสินค้าและบริษัทดี
– ต้นทุนการผลิตสินค้าต่ำ – มีการผลิตอย่างต่อเนื่อง
– มีความสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
- Weaknesses (จุดอ่อน) เป็นการพิจารณาข้อเสียหรือจุดด้อยหรือข้อบกพร่องที่อยู่ภายในบริษัทและผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทสามารถควบคุมได้และบริษัทจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข ตัวอย่างของจุดอ่อน ได้แก่
– สินค้ามีให้เลือกน้อย – ราคาสินค้าแพงกว่าคู่แข่งขัน
– รูปแบบสินค้าไม่ทันสมัย – เงินทุนไม่เพียงพอ
– กำลังการผลิตต่ำ – สายผลิตภัณฑ์สั้น
– ต้นทุนการผลิตสูง – จำนวนแรงงานไม่เพียงพอ
– ช่องทางการจัดจำหน่ายไม่เพียงพอ – ไม่มีงบประการการโฆษณา
- Opportunities (โอกาส) เป็นการพิจารณาถึงข้อได้เปรียบของกิจการหรือของผลิตภัณฑ์ที่มีเหนือกว่าคู่แข่งขัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่ภายนอกที่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อบริษัท ให้นำไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด ตัวอย่างของโอกาส ได้แก่
– การแข่งขันยังมีน้อย – คู่แข่งขันเลิกกิจการ
– จำนวนผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น – การเติบโตของตลาดอย่างต่อเนื่อง
– ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาล – ทัศนคติที่ดีต่อสินค้าของผู้บริโภค
– เศรษฐกิจมีอัตราเจริญเติบโตสูงขึ้น – มีคนกลางที่ช่วยจัดจำหน่ายมาก
– เทคโนโลยีหรือวิชาการใหม่ที่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อธุรกิจ
- Threats (อุปสรรค) เป็นการพิจารณาข้อเสียเปรียบ ข้อจำกัด หรือปัญหาที่อยู่ภายนอกกิจการ และเป็นอุปสรรคที่มีผลกระทบต่อบริษัท เป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ตัวอย่างของข้อจำกัด ได้แก่
– ราคาของต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น – คู่แข่งขันรายใหม่เข้ามาในตลาด
– มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับใหม่ – คู่แข่งขันทุ่มการโฆษณาสูง
– มีสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้ – สินค้าถูกกดราคาจากคนกลาง
– เศรษฐกิจอยู่ในขั้นตกต่ำ – ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรสนิยม
ส่วนประสมทางการตลาด (สำหรับการตลาดออนไลน์)
ผลิตภัณฑ์ (Product)
แม้เว็บไซต์จะมีความสวยงาม แต่หากผลิตภัณฑ์ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ความสวยงามหรือตื่นตาตื่นใจเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถที่จะสร้างรายได้ให้ กับธุรกิจได้ ดังนั้น ผู้ผลิตจึงควรที่จะมีการวิเคราะห์สินค้าว่ารูปแบบควรเป็นลักษณะใด การใช้ประโยชน์ของสินค้า และกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ซื้อ โดยเฉพาะการผลิตสินค้าที่ไม่มีขายทั่วไปในช่องทางปกติ เช่นผลิตภัณฑ์แปรรูปสมุนไพรจากเกษตร เช่น ปลาร้าก้อน, ปลาร้าผง, สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้สินค้านั้นเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อออนไลน์
ปัญหาสำคัญของการซื้อขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตคือ ลูกค้าไม่สามารถทดลองสินค้าได้ก่อน แม้ว่าสินค้านั้นจะดีจริง ลูกค้าส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าจากร้านที่เขาเคยได้ยินชื่อมาก่อน หรือมิฉะนั้น สินค้าจะต้องมีตรายี่ห้อ เพื่อจะได้มั่นใจในคุณภาพสินค้า และการสร้างความน่าเชื่อถือของร้านค้า ว่าจะไม่ทุจริต เพราะจำนวนเงินธุรกรรมที่ผู้บริโภคซื้อผ่านเว็บไซต์ บางครั้งก็ไม่คุ้มที่จะฟ้องร้องหากผู้ขายทุจริต นอกจากนั้น ผู้ขายจะต้องคำนึงถึงการจัดส่งสินค้าให้อยู่ในสภาพที่ดีด้วย
องค์ประกอบที่ 2 ราคา (Price)
สินค้าไทยอาจมีราคาถูกเมื่อคำนวณในสกุลเงินต่างประเทศ แต่การขายสินค้าไปต่างประเทศในลักษณะผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค (B2C) นั้น ผู้ซื้อต้องชำระค่าขนส่ง และภาษีนำเข้าด้วย ซึ่งขณะนี้ค่าขนส่งสินค้า 1 กิโลกรัมไปอเมริกา โดยบริษัทขนส่งมีต้นทุนประมาณ 1,000 บาท ดังนั้น สินค้าเหล่านี้อาจจะมีราคาแพงกว่าที่ซื้อจากร้านในอเมริกาได้ ในระยะยาวแล้วต้นทุนการผลิตของไทยอาจสูงกว่าอินเดีย หรือจีน เพราะค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นของไทย ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกด้วยการขายของถูกได้อีกต่อไป ดังนั้น ผู้ขายจึงควรเน้นการตั้งราคาให้เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้า หมั่นตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่แข่งใกล้เคียง นอกจากนี้ ในการขายสินค้าบางชนิดเช่นเครื่องประดับที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา อาจทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูง เพราะมีการคำนวณน้ำหนักขั้นต่ำในการส่ง ผู้ขายจึงควรนำเสนอสินค้าเครื่องประดับเป็นชุด แทนที่จะแยกขายเป็นชิ้น ซึ่งเมื่อรวมราคาเป็นชุดแล้วจะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าราคาไม่สูงนัก ในกรณีที่ผู้ขายทราบตลาดหลักของตนว่าเป็นกลุ่มลูกค้าจากประเทศอะไรแล้ว อาจทำการคำนวณค่าจัดส่งรวมเข้าไปในราคาสินค้าเลย เพื่อจะช่วยร่นกระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้สั้นขึ้น สำหรับการตั้งราคาเพื่อจำหน่ายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ผู้ขายจะต้องมีการคำนวณต้นทุนให้รอบคอบ หรือความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การที่ลูกค้าทำรายการซื้อด้วยบัตรเครดิตนั้น ธนาคารจะมีการคิดค่าธรรมเนียม 3% ซึ่งผู้ขายจะต้องนำค่าใช้จ่ายนี้ไปรวมเป็นต้นทุนก่อนตั้งราคาสินค้าด้วย
ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
คำกล่าวที่ว่า ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ดูจะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนักอยู่เสมอในโลกธุรกิจ เพราะทำเลการค้าที่ดีหลายแห่งจะมีค่าจอง ค่าเซ้งในราคาที่สูงลิบลิ่ว เนื่องจากเป็นที่ต้องการของคู่แข่งหลายราย และทำเลการค้าที่ดีก็มีอยู่จำกัด ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กหลายรายจึงต้องเริ่มธุรกิจด้วยการใช้รถเข็น หรือเปิดแผงลอยย่อยๆ ก่อน ถ้าจะเทียบกับเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การหาทำเลอาจจะเทียบเคียงได้กับการตั้งชื่อร้านค้า ที่ศัพท์ทางอินเทอร์เน็ตเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name) ในทางอินเทอร์เน็ตนั้นไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ ดังนั้นทำเลการค้าทางอินเทอร์เน็ตจึงไม่ได้หมายถึงที่ตั้งของร้าน ร้านค้าอาจใส่ข้อมูลสินค้าบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย อเมริกา หรือ อินเดีย ได้ โดยลูกค้าไม่ได้สนใจมากนัก และส่วนใหญ่แล้วไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของร้านค้าอยู่ที่ ประเทศใด แต่ลูกค้าเข้าสู่ร้านค้าโดยจดจำชื่อร้าน เช่น Amazon.com หรือ Hotmail.com ชื่อร้านค้าเหล่านี้เปรียบเสมือนยี่ห้อสินค้า และชื่อเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดบนโลกอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับทำเลทองย่านการค้า การจดทะเบียนโดเมนเนมจึงควรเลือกชื่อที่จดจำได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่ชื่อที่ดี มักจะถูกจดไปหมดแล้ว ในปัจจุบันจึงเกิดธุรกิจซื้อขายเฉพาะชื่อโดเมนเนมเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยไม่ควรยึดเว็บไซต์เป็นช่องทางการค้าเพียงอย่างเดียว หากมีโอกาสเปิดช่องทางการค้าตามวิธีปกติได้ก็ควรจะทำควบคู่กันไปด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ การมีเว็บไซต์นั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ลูกค้าก่อนซื้อ หรือมีการซื้อซ้ำได้ หลังจากที่ลูกค้าได้ซื้อสินค้าจากช่องทางปกติไปทดลองใช้จนพอใจแล้ว
การส่งเสริมการขาย (Promotion)
การส่งเสริมการขายบนเว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกับการค้าปกติ โดยรูปแบบมีตั้งแต่การจัดชิงรางวัล การให้ส่วนลดพิเศษในเทศกาลต่างๆ รวมทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้าที่เว็บไซต์ นอกจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อปกติ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์แล้ว ยังมีการโฆษณาด้วยรูปแบบที่เรียกว่าป้ายโฆษณาบนเว็บไซต์ (Banner Advertising) ซึ่งมีลักษณะคล้ายสื่อสิ่งพิมพ์ แต่จะแสดงบนเว็บไซต์อื่น การโฆษณาลักษณะนี้จะคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้งที่แสดงโฆษณาโดยนับเป็นจำนวน หลักพันครั้ง หรือ CPM ซึ่งมาจากคำว่า Cost Per Thousand Impressions วิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่งคือ การลงทะเบียนในเว็บไซต์เครื่องมือค้นหา เช่น Yahoo.com, Google.com หรือ การประมูลขายสินค้าในเว็บไซต์ eBay.com นอกจากการประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีต่างๆ ให้ลูกค้ารู้จักเว็บไซต์แล้ว บริการหลังการขายก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าครั้งหนึ่งนั้น ไม่ได้หมายถึงการที่ผู้ขายจะได้รับเพียงคำสั่งซื้อเดียว หากมีบริการที่ดี เช่น การส่งของแถม หรือคูปองส่วนลดไปพร้อมกับสินค้า จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และอาจกลับมาซื้อซ้ำ หรืออาจบอกต่อเพื่อนฝูงให้มาใช้บริการร้านออนไลน์ของผู้ขายต่อไปได้
หลักสูตรที่ 2 การขายบนแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์ |
|
---|---|
คำอธิบายหลักสูตร | ศึกษาเกี่ยวกับการขายบนแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์ วิธีการทำตลาดออนไลน์ ช่องทางการทำตลาดออนไลน์ เทคโนโลยีทางการตลาด |
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ | 1. เพื่อให้เข้าใจความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์
2. เพื่อให้เข้าใจช่องทางการทำตลาดออนไลน์ 3. เพื่อให้เข้าใจและสามารถใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ |
วิธีการพัฒนา | 1. อธิบายและยกตัวอย่างเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นของการตลาด
2. ฝึกทักษะการกำหนดส่วนประสมทางการตลาด |
เกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จ | 1. ความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดเบื้องต้น 2. ความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดส่วนประสมทางการตลาด |
วิธีวัดผล | ตอบคำถามตามแบบทดสอบ |
ระยะเวลา | 180 นาที |
เครื่องมือ อุปกรณ์ | 1. เอกสารประกอบการสอน
2. กระดานฟลิปชาร์ท พร้อมกระดาษ |
ส่วนที่ 2 เนื้อหาหลักสูตร
ความสำคัญและประโยชน์ของการตลาดออนไลน์
องค์กรธุรกิจคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตของโลกดิจิทัล ส่งผลให้ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่านทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นองค์กรธุรกิจเองก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ด้วยการปรับตัวมาทำการตลาดออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ข้อดีของการทำการตลาดออนไลน์ มีดังนี้
- สร้างตัวตนในแบรนด์สินค้าและบริการได้ง่ายมากขึ้น โดยการเลือกนำเสนอความเป็นตัวตนของแบรนด์ผ่านการใช้คอนเทนท์การตลาดไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ทันที
- ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้มากขึ้นโดยการให้ นั่นก็คือ ให้สาระความรู้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ รวมถึงสิ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง การทำตลาดออนไลน์นั้นสามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา Google โดยเลือก Google Ads หรือ Google Display Network เราสามารถเลือกได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายและคุ้มค่า
- สามารถดึงดูดลูกค้ารายใหม่ให้เกิดความสนใจ เพราะการทำตลาดออนไลน์ไม่ได้จำกัดพื้นที่ในการสื่อสาร สามารถหาลูกค้าใหม่ได้ทั่วทุกมุมโลก
- สร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ง่ายขึ้น แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการโต้ตอบและแนะนำสินค้าพร้อมทั้งสามารถจัดส่งแคมเปญส่งเสริมการขายให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง
- เป็นตัวกลางในกระจายข่าวสารและโปรโมชั่นของสินค้าและบริการได้อย่างรวดเร็ว และเป็นวงกว้าง สามารถวัดผลได้ง่าย หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นยอด Reach, View, Impressions, Click และรวมไปถึง ROI ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์วัดผลทางการตลาดได้
- ต้นทุนต่ำ เนื่องจากการนำเสนอสินค้าและบริการนั้นสามารถนำเสนอได้ทั้งรูปแบบวีดีโอ และภาพนิ่ง ซึ่งเราสามารถเสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนเป็นครั้ง ก็สามารถใช้ได้ตลอด
- การตอบกลับข้อความสะดวก รวดเร็ว เพราะการตอบกลับคือการแสดงความใส่ใจในการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า จึงทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์
ช่องทางการทำตลาดออนไลน์
ไม่ว่าธุรกิจไหนในยุคนี้ก็ทำออนไลน์ แต่ก็ใช่ว่าทุกธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จกันได้ง่าย ๆ แม้ว่าทุกวันนี้จะมีเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ (Marketing Tech) เพื่อเป็นตัวช่วยของธุรกิจคุณได้มากมายผ่านช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ต่างๆ คำถามที่น่าสนใจก็คือ “นอกจากขายของออนไลน์อะไรดีแล้ว ขายผ่านช่องทางไหนดีที่สุด?”
3 ช่องทางหลัก ทั้งการขายผ่านเว็บไซต์ขายของออนไลน์ ขายสินค้าออนไลน์ผ่าน Social Media ต่างๆ และการเปิดร้านค้าออนไลน์บน E-Marketplace ว่าธุรกิจแบบไหน ใช้อย่างไรให้สำเร็จ มาเปรียบเทียบแบบชัดๆ ทั้งข้อดี-ข้อเสีย ความท้าทายแต่ละช่องทาง ให้เจ้าของธุรกิจนำไปใช้ประโยชน์
ข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์บนเว็บไซต์
- มีความน่าเชื่อถือ เพราะสามารถใส่ข้อมูลที่เป็นทางการของธุรกิจในหน้าเว็บไซต์ได้
- สร้าง Brand Loyalty ให้ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจกลับมาซื้อซ้ำได้ง่าย ยิ่งถ้าคุณสามารถตั้งชื่อเว็บไซต์ของคุณเป็นชื่อเดียวกับแบรนด์ได้ ก็จะยิ่งสร้างการจดจำแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้น แถมการมีโดเมนเนมนั้นยังสามารถลอกเลียนได้ยากอีกด้วย
- ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลธุรกิจ หรือสินค้าของคุณผ่าน Google ที่เป็น Search Engine ได้ง่ายขึ้น และ Google นั้นยังสามารถทำงานได้ดีกับเว็บไซต์ เพราะเว็บไซต์ขายของออนไลน์สามารถทำ SEO ให้มี Keywords ที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณเสิร์ช Google ติดในหน้าแรกได้
- มี Shopping Cart (ตะกร้าสินค้า) หรือ ฟังก์ชั่นสำหรับการติดต่อช่องทางอื่น ๆ เพื่อให้ลูกค้าสอบถามสินค้าและบริการของคุณเพิ่มเติมได้
- ทำ Remarketing / Custom Audience / Lookalike ซึ่งเป็นการทำโฆษณาขั้น Advance เพื่อให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น โดยใช้ข้อมูลของคนที่เคยมาเยี่ยมเว็บไซต์ของคุณในการทำโฆษณาเป็นหลัก
- สามารถติดตั้งระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ดีได้ เช่น ระบบ CRM, ระบบ Dynamic Retargeting อ่านข้อมูลของการทำR-Dynamic ระบบโฆษณา Dynamic Retargeting ได้โดยการทำ Google Analytics เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าของคุณได้
- ไม่เสียส่วนแบ่งจากการขาย
ความท้าทายในการทำเว็บไซต์
- Content มักไม่อัพเดท เพราะการทำงาน Content ผ่านเว็บไซต์อาจมีความยุ่งยากมากกว่าการทำ Content บน Social ต่าง ๆ
- การออกแบบมักไม่ค่อยสวย ยิ่งถ้าต้องการให้เว็บไซต์มีคุณสมบัติ User Friendly คือง่ายต่อการใช้งานหรือช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการสั่งซื้อได้ง่ายแล้ว อาจจะต้องจ้าง UX UI Design ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
- Visitor หรือคนเข้าเว็บไซต์มีจำนวนน้อย จนไม่ก่อให้เกิดผลในการเพิ่มยอดขายของร้านค้าออนไลน์ของคุณ จนหลายธุรกิจอาจถอดใจกับการทำเว็บไซต์ได้
- ต้องการ Technical Support เช่น เว็บไซต์ขายของออนไลน์ ต้องไม่ล่มบ่อย ประมวลผลการทำงานเร็ว ฯลฯ
- ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้เอง ใช้ตั้งรับผู้มาเข้าเยี่ยมชม
ข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์ใน E-Marketplace
- หาลูกค้าใหม่ได้ง่ายและมากกว่า เพราะ Traffic ของลูกค้าที่เข้ามาใน E-Marketplace มีจำนวนมากต่อวัน เพราะแต่ละที่มีการโปรโมทเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ
- เริ่มต้นสมัครใช้งานได้ง่าย
- มีโอกาสทำการตลาดกับ Traffic จำนวนมากที่เข้ามาใน E-Marketplace ได้ เช่น การซื้อ Banner Ad, การอยู่ในหน้าแรกหรือการเป็นร้านค้าแนะนำของ E-Marketplace เป็นต้น
- มี E-Marketplace ให้เลือกใช้บริการหลากหลาย ซึ่งคุณสามารถไปเปิดร้านค้าออนไลน์ได้ทุก E-Marketplace เพื่อเพิ่มโอกาสการขายได้มากขึ้น
ความท้าทายของการทำ E-Marketplace
- เสียค่า Commission ในการขายสินค้า (บางแห่งอาจจะฟรีหรือคิดน้อยมากในช่วงแรก)
- ต้องทำการตลาดควบคู่ เพราะหากเปิดร้านไว้เฉย ๆ มักไม่ได้ผล เพราะมีการแข่งขันสูง
- ลูกค้าเห็นสินค้าคู่แข่งด้วย ถ้าราคาสินค้าของคุณแพงกว่าอาจจะทำให้เสียโอกาสการขายได้
- สร้าง Brand Loyalty ยาก เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะจดจำแค่ชื่อของ E-Marketplace มากกว่าการจดจำชื่อร้านของคุณ
- ร้านค้าออนไลน์มีอำนาจการต่อรองกับ E-Marketplace ได้น้อย
ข้อดีของการขายสินค้าออนไลน์ใน Social Media
- ใช้งานง่าย โพสต์ง่าย ติดต่อกับลูกค้าง่าย
- สามารถสร้างสรรค์รูปแบบของ Content ได้หลายรูปแบบ ทั้ง VDO แนวตั้ง แนวนอน, ภาพเดี่ยว, อัลบั้มภาพ Content หลากหลายรูปแบบ
- หาลูกค้าใหม่ ๆ ได้ไม่จำกัด โดยการทำโฆษณาออนไลน์
- กระตุ้นความต้องการการซื้อได้ดี (สำหรับสินค้ากลุ่มที่ซื้อสินค้าด้วยอารมณ์ เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น หรือเครื่องสำอางต่าง ๆ)
- มีโอกาสเกิด Viral (แต่ค่อนข้างยาก)
ความท้าทายของการขายสินค้าออนไลน์ใน Social Media
- โพสต์ Content แล้ว ไม่ได้ Organic Reach เพราะการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึ่มของ Social Media ต่าง ๆ ทำให้ร้านค้าออนไลน์ ไม่สามารถเข้าถึง Fan Page ได้ทุกคน (ปัจจุบัน Facebook ให้เพจต่าง ๆ เข้าถึงคนที่เป็นแฟนเพจได้ไม่เกิน 1% ที่เป็น Organic แบบไม่เสียค่าโฆษณา)
- ค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาสูงขึ้น เพราะการแข่งขันของการขายสินค้าออนไลน์สูงขึ้น
- อัลกอริทั่มของการโฆษณา (Ad Algorithm) เปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ร้านค้าออนไลน์ตามไม่ทัน
- ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ Creative Content สำหรับการโฆษณาออนไลน์ เพื่อให้ดึงดูดและโดนใจกับกลุ่มเป้าหมาย
- การหา Admin ที่เก่ง มีใจรักบริการ ให้ข้อมูลถูกต้องและเร็ว หาได้ยาก
ให้คะแนนนวัตกรรมนี้
คลิกที่ดาวเพื่อให้คะแนน
คะแนนเฉลี่ย 0 / 5. จำนวนการโหวต: 0
No votes so far! Be the first to rate this post.